เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ พ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หนังสือมันเป็นตำราเวลาพระเราเวลาบวชมาแล้วบวชมาแล้วต้องมีการศึกษา พอศึกษาเสร็จแล้วมันเก็บไว้ในหัวใจ พอเก็บไว้ในหัวใจ เวลาออกรบไง เวลาออกธุดงค์ไปแล้วเก็บไว้ในหัวใจ เหมือนกับทหาร ทหารต้องฝึกหัด ทหารฝึกแล้ว เวลาฝึกทหารเขาจะให้ถอดเครื่องแบบแล้วมาบิดดูว่าเหงื่อใครมากกว่า ถ้าเหงื่อยังน้อยอยู่ ไปฝึกต่อ

ถ้าใครขยันฝึกฝน ขยันให้มีความชำนาญ เวลาออกสนามรบแล้วเขาจะเอาชีวิตเขารอด คนไหนขี้เกียจขี้คร้าน คนไหนเอารัดเอาเปรียบเวลาเข้าสนามรบนะ ตายหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราศึกษาๆศึกษาแล้วเวลาออกรบแล้วเขาไม่เอาตำราไปด้วย เวลาออกรบนะ ออกรบเขาใช้ประสบการณ์ของเขา ถ้าใครผ่านสนามรบมาแล้ว ทหารไม่เคยไปสนามรบอย่าเพิ่งอวดว่าเป็นทหารผ่านศึกทหารผ่านศึกมันต้องออกรบ รบจนชนะแล้วมันถึงว่าเป็นทหารผ่านศึก ไอ้นี่เหมือนกันเวลาออกไปนะเอาตำราวางไว้บรรจุกระสุนบรรจุกระสุนแล้วยิงใช่ไหม มันตายหมดล่ะ

นี่พูดถึงเวลาตำรา พูดถึงตำราเป็นตำราจะบอกว่าภาคปริยัติ ปริยัติเราก็ได้ศึกษาแล้วศึกษาแล้ว วัดปฏิบัติต้องเป็นปฏิบัติ ทีนี้พอปฏิบัติแล้วก็ละล้าละลัง คนทุกคนก็ปรารถนาคุณงามความดีทั้งนั้นน่ะ เวลาพระเรามาเจอญาติโยม อยากจะช่วยพระอยากช่วยพระก็ไปพิมพ์หนังสืออสุภะ พอพิมพ์หนังสืออสุภะเอาไปแจกกัน ไอ้พระก็เลยใส่ย่ามไว้คนละเล่มอาจารย์ถามว่า“พิจารณาอย่างไร”

“ผมได้อสุภะ”

“อยู่ในไหน”

“อยู่ในย่าม”

อสุภะมันเกิดที่จิต อสุภะเวลามันเกิดขึ้นมันเกิดที่การปฏิบัตินั้น แต่คนเรามันยิ่งทำกันไปๆ มันทำให้การประพฤติปฏิบัติมันแบบว่ากรรมคลุกเคล้ากันไง เวลากรรม พวกเราเวลาเราทุกข์เรายาก เรื่องเวรเรื่องกรรม แล้วกรรมมันคลุกเคล้ากัน เราแบ่งแยกไม่ได้เลยว่ากรรมอันไหนเริ่มต้น อันไหนท่ามกลาง อันไหนที่สุด แล้วอันไหนก่อนอันไหนหลังวะเนี่ย โอ๋ย! กูงงหมดเลยนะกูทุกข์กูยากอยู่นี่ก็เพราะกรรมกูนี่แหละ กรรมมันคลุกเคล้าไปหมดเลย

แต่ถ้ามันเริ่มต้น ศึกษาก็ศึกษาสิ ศึกษาเลย ๙ ประโยค๑๐๐ ประโยคศึกษามาเลยศึกษาเสร็จแล้วจบแล้วมาพุทโธให้ได้ อ้าว! พุทโธให้ได้สิปฏิบัติให้ได้ ทำสมาธิให้ได้ ศีลสมาธิ ปัญญาง่ายๆ ศีล สมาธิปัญญา มรรค ๘มันแบ่งได้ว่าศีลสมาธิ ปัญญา ศีลคือความบริสุทธิ์ของเรามันบริสุทธิ์ไหม ถ้าไม่บริสุทธิ์ พอนั่งสมาธินะ โอ้โฮ! ไอ้นั่นเราก็ทำแล้ว ไอ้นี่ก็ทำแล้ว ไอ้นู่นก็เป็นอาบัติ แล้วสมาธิจะเป็นได้อย่างไรล่ะ

ศีล ถ้าศีลมันบริสุทธิ์แล้วพอมันนั่งไปแล้วมันสบายใจ ถ้าคนเราจะนั่ง ศีลเราบริสุทธิ์ ถ้ามันจะผิดพลาดมา เราก็ได้ปลงอาบัติแล้ว ในปัจจุบันนี้มันเป็นปกติ ก็เพิ่งปลงอาบัติเดี๋ยวนี้เพิ่งปลงอาบัติสะอาดบริสุทธิ์เดี๋ยวนี้ นั่งเดี๋ยวนี้ ทีนี้นั่งเดี๋ยวนี้กิเลสมันก็หลอกไม่ได้ พอกิเลสมันหลอกไม่ได้มันจะเอาอย่างไรล่ะโอ้โฮ! เราวาสนาน้อย เราคงภาวนาไม่ได้หรอก...มันไปนู่นแล้ว เวลามันนั่งไปแล้วมันก็บอกว่าศีลมันไม่บริสุทธิ์ มันทำผิดศีล มันก็เกิดความกังวล พอเกิดความกังวลนะ พอปลงอาบัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอจะนั่งจริงๆ มันปวดเมื่อยไง พอมันปวดเมื่อย เอาแล้ว “เราคงไม่มีวาสนาแล้ว เราทำไม่ได้แล้วล่ะ” กิเลสมันก็หลอกอีก

ศีลก็ไม่ได้ สมาธิก็ไม่ได้แต่ปัญญาดีนะปัญญาดีนี่ปัญญาของกิเลสไง กิเลสมันพลิกมันแพลง มันหลอกมันล่อเพราะกูศึกษามาเยอะ กูเรียนมาจบหมดแล้วพระพุทธเจ้าพูดอะไรจำได้หมดเลย ก็อปปี้ พุทธพจน์ๆ เอามาพูดมันผิดตรงไหนมันผิดตรงไหน

ผิดตรงกิเลสเราเต็มหัวใจนี่ไง แต่ธรรมะนี้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันก็เลยตีความเห็นกันไปร้อยแปดไงพอร้อยแปดไปฉะนั้น เวลาศึกษา พอพูดอย่างนี้แล้วเหมือนกับการต่อต้าน ไม่นะหลวงตาท่านบอกว่าท่านก็ศึกษามา ท่านเป็นมหามา แล้วเวลาเขามาขอทุนรอนไปส่งเสริมการศึกษานะ ท่านไม่ให้ท่านไม่ส่งเสริมเท่าไร

แต่จริงๆแล้วท่านส่งเสริมเวลาส่งเสริมท่านออกทุนนะวัดโพธิสมภรณ์หลวงตาท่านเป็นคนอุปัฏฐากอุปถัมภ์มา คนที่เรียนที่วัดโพธิสมภรณ์ พระบวชที่วัดโพธิสมภรณ์ ที่ฉันอาหารอยู่ เงินหลวงตาทั้งนั้นเวลาท่านทำท่านทำใต้ดินท่านทำไม่ให้ใครไปแอบอ้างนี่เวลาท่านทำนะ

ถ้าการศึกษา การศึกษาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์นะ การศึกษานั้นมันก็เป็นวิชาการใช่ไหม มันจะผิดไปไหน แต่การศึกษาเราศึกษาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ศึกษาเป็นทางผ่านไงศึกษาเพื่ออัพเกรดตัวเองขึ้นมาไง ศึกษาเพื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ศึกษาเพื่ออวดอ้างไงฉันมีความรู้ไง

แต่เวลามีการศึกษาโดยความรู้ของตน นี่ท่านส่งเสริมเวลาท่านส่งเสริมนะ หลวงตาเราอยู่กับท่านเราถึงบอกหลวงตายอดเยี่ยมทำคุณงามความดีไว้เบื้องหลังปิดทองก้นพระ

เขาไม่ปิดทองหลังพระกันหรอก เขาปิดทองก้นพระเพราะท่านไม่ปรารถนาอะไรทั้งสิ้น ท่านไม่ปรารถนาความดีของใครทั้งสิ้นเวลาท่านทำท่านทำเพื่อศาสนทายาททำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง เวลาท่านทำ ท่านแอบทำ

วัดโพธิสมภรณ์ หลายวัดที่หลวงตาท่านอุปัฏฐากอุปถัมภ์อยู่ แต่เวลามีพวกการศึกษา พวกมหาวิทยาลัยต่างๆ ไปขอ ถ้ามหาวิทยาลัยสงฆ์นะ ท่านไม่ให้ แต่ถ้ามหาวิทยาลัยทางโลก ท่านไม่ต้องไม่ให้ ท่านไปสร้างตึกให้เลย ท่านสร้างตึกให้ ท่านซื้อคอมพิวเตอร์ให้ท่านส่งเสริมเต็มที่เลย เพราะคนเรามันต้องมีการศึกษา ไม่มีการศึกษา มันฉลาดขึ้นมาได้อย่างไรถ้าการศึกษามันเป็นประโยชน์กับโลก ศึกษาเป็นศึกษา จบแล้วมีงานทำไหม จบแล้วทำงานหรือยัง

ศึกษาแล้วต้องมาปฏิบัติไง เขาศึกษาให้มาปฏิบัติ การศึกษาก็ศึกษามาเพื่อความรู้ใช่ไหม พอมีความรู้ต้องมีอาชีพ เราก็ต้องมาหาอาชีพของเรา

พระปฏิบัติกำลังหาอาชีพ หาคุณธรรมในใจของตน บวชมาแล้ว ศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้ว เพราะอะไรเพราะเวลาเราศึกษา ศึกษากับอุปัชฌาย์ เกสาโลมา นขาทันตา ตโจ ให้อนุโลมปฏิโลมนี่อุปัชฌาย์ให้แล้ว อุปัชฌาย์ให้อาวุธแล้ว นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ สิ่งที่ทำไม่ได้ ๔ อย่างปาราชิก ๔ ให้อยู่โคนไม้ อยู่ในเรือนว่าง นี่ศึกษามาแล้วเอาเลย พอเอาเลย เราก็ทำจริงทำจังของเราขึ้นมา นี่พระปฏิบัติ ทีนี้พอปฏิบัติแล้วจะไม่ละล้าละลัง

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาเยอะ สิ่งที่เป็นตำราๆ ดูสิ คนเราไม่มีความมั่นใจอ้างเอกสารๆ

เราอยู่กับหลวงตาอีกแหละ...ของเด็กเล่น เอกสารนี่ของเด็กเล่นสัจจะสิเว้ยสำคัญ พูดคำไหนคำนั้น ออกมาจากหัวใจที่เป็นจริง ตรัสแล้วไม่คืนคำคำเดียวแน่นอนนี่ถ้าเป็นธรรม

แต่โลกเขาต้องเป็นเอกสารเนาะ เพราะคนมันกะล่อนสัจจะนี้มันกะล่อน มันพลิกแพลงได้ ถึงต้องเอาเอกสารมาเพื่อมันจะได้ติดคุกได้ไง ต้องทำสัญญาเพื่อติดคุกๆ กันไงเพราะโลกมันกะล่อน

แต่เวลาเราอยู่กับท่านสมัยท่านยังไม่ออกมาช่วยโลกเวลาท่านเห็นเรื่องเอกสารท่านหัวเราะเยาะเด็กเล่นขายของแต่คำพูดของท่านนี่สัจจะ นี่ความจริง คำพูดของท่านเป็นสัจจะ คำไหนคำนั้น แล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง นี่ไง เวลามันออกมาจากใจๆ มันเป็นอย่างนั้นไงถ้ามันเป็นอย่างนั้น

ทีนี้พอคนที่ไม่มีวุฒิภาวะ ดูสิ เวลา“ฉันพูดเหมือนหนังสือเล่มนั้นเลย ฉันพูดเหมือนหนังสือเล่มนั้น”

มันเขียนหนังสือไว้ก่อนแล้วมันก็มาพูดมันก็มาอ้าง มันอ้างของมันไปทั้งนั้นน่ะ “ฉันพูดเหมือนหนังสือเล่มนั้นเลย ฉันพูดเหมือนหนังสือเล่มนั้นเลย” มันแอบอ้างทั้งนั้นน่ะ แล้วหนังสือเล่มนั้นถูกไหม

ถ้ามันถูกนะ เวลาผู้ปฏิบัติมันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจอย่างนี้ แม้แต่แผนที่มันยังชี้ไปทางที่ผิดแล้วคนที่เดินทางมันจะถูกต้องได้อย่างใดแม้แต่แผนที่มันชี้ไปทางที่ผิดเวลาหนังสือเวลาชักนำกันชักนำไปในทางที่ผิดๆ ในทางที่ผิดๆ แล้วก็ไปศึกษาความรู้ที่ผิดๆ แล้วอ้างพุทธพจน์ๆ ไอ้พวกเราก็ไม่ได้ศึกษามา ก็ไม่รู้ว่าพุทธพจน์มันจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้แหละ ถ้าบอกพุทธพจน์เราต้องเชื่อเลยนะ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวเป็นบาปเป็นกรรมนะ

แต่เวลาเราพูดบ่อย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ ท่านฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา นี่เวลาท่านพูดถึง ฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ แล้วเวลาฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔เวลาใครจะพูดจาบจ้วงอย่างใด“ภิกษุเอย เมื่อใดบริษัท ๔ ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน”

แล้วท่านก็เผยแผ่มา ๔๕ ปีจนสุดท้ายเวลาท่านพูดกับมารเวลามารมันดลใจๆ มารมันดลใจตลอด“เมื่อใดภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่สามารถกล่าวแก้” กล่าวแก้ก็นี่ไง กล่าวแก้ก็เถียงมัน เถียงมัน โต้แย้งกับมัน “ถ้าภิกษุเรายังไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถกล่าวแก้กับพวกลัทธิต่างๆ ได้ เรายังไม่ยอมนิพพาน”

จนภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกาสามารถกล่าวแก้ เพราะพระอรหันต์เยอะแยะไปหมด “มารเอยอีก ๓ เดือนข้างหน้า เราจะนิพพาน บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็งสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน”

ทีนี้เวลาเรากล่าวแก้ เขาโจมตี เขามีความเห็นผิดเขาชี้ทางผิดแล้วเราแก้ไข มันผิดตรงไหน มันผิดหรือมันถูกเราทำตามพระพุทธเจ้าสอนหรือเปล่า เราทำตามพระพุทธเจ้าสอน เราทำตามพระพุทธเจ้าสั่งไว้เลย ถ้ามันผิดพลาด เราก็กล่าวแก้ กล่าวแก้ด้วยเหตุด้วยผลไง

ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ศาสนาไหนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ศีลไง ศีลคือสัมมาทิฏฐิคือความเห็นที่ถูกต้องดีงามเพราะถ้าเป็นมิจฉาแล้วมันเป็นศีลเหมือนกัน เวลาถือศีลก็ถือเคร่งถืออวดกัน แล้วเอามาข่มขี่กัน เอ็งแน่กว่าข้า ข้าแน่กว่าเอ็ง เอ็งสู้ข้าไม่ได้ ข้าสู้เอ็งไม่ได้ ไอ้นั่นมันถือศีลด้วยการแข่งขัน แต่ถ้าเราถือศีลของเราด้วยความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติ ใจมันตั้งมั่น ใจมันเอกัคคตารมณ์ ใจมันมีพลังงานของมันถ้าใจมีพลังงานของมัน นี่ศีล

ถ้ามันเกิดสมาธิขึ้นมาเกิดสมาธิขึ้นมาก็เป็นสัมมาสมาธิใช่ไหมแล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมาก็เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากใจดวงนั้น นี่ไง มันจะไปถือเคร่งถืออวดใคร จะไปแข่งขันกับใครมันเป็นกิเลสกับธรรมแข่งขันในหัวใจ คนที่ประพฤติปฏิบัตินะ นักรบ ทหารที่ได้ฝึกมาดีแล้วออกรบ ออกรบเจอกิเลส เจอกิเลส เจอข้าศึกใช่ไหม เจอข้าศึก

ทหาร ๒ประเทศมันไม่เคยรู้จักกัน มันไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน มันฆ่ากันทำไมล่ะทหารกองทัพ ๒กองทัพเขาไม่เคยเห็นกัน เขาไม่มีความบาดหมางในใจต่อกัน เขาฆ่ากันทำไม ทหารที่มันออกรบมันรู้จักกันไหม มันต่างคนต่างมา มันไม่รู้จักกันเลยมาเจอหน้ากันยิงกันเปรี้ยงๆๆแล้วมันทำอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะทำไมมันทำอย่างนั้นล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสของเราๆ เราอยากฆ่ามันๆกลับไม่เห็นไงกลับให้กิเลสมันพลิกแพลง เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทำลายเราไง ถ้ามันจะไม่ทำลายเราเราต้องมีสติมีปัญญา มีสติปัญญา เวลาเข้าไปรู้แจ้งความรู้แจ้ง

เวลาคนภาวนา คนภาวนาขอให้ภาวนาเถิด ถ้าภาวนาไปแล้วนะเวลาสุตมยปัญญามันปัญญาการศึกษา จินตมยปัญญาจินตนาการมันก็รู้ของมัน ภาวนามยปัญญาขึ้นมามันจะรู้ คนที่ภาวนาเป็นเขาจะแบ่งได้เลยว่าอะไรเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาระดับของการศึกษาแค่ไหนจินตนาการไอน์สไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ มีความรู้ ถ้าไม่มีจินตนาการมันสร้างอะไรไม่ได้ จินตมยปัญญาของมันเราจินตนาการไปแล้วจินตนาการไปแล้วมันไม่ลงเป้าหมาย ไม่ลงเป้าหมายคือมันไม่ลงสู่จิต เพราะปฏิสนธิจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเวลาภาวนามยปัญญา มรรคญาณที่มันสมุจเฉทฯ มันจะทำลาย มันต้องทำลายลงที่จิตแล้วถ้ามันเป็นจินตนาการ มันจินตนาการขึ้นมามันลงสู่จิตไม่ได้

แล้วถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดมาจากไหน มันเกิดจากศีล เกิดจากสมาธิ สมาธิเกิดจากไหนสมาธิเกิดจากจิต ถ้าสมาธิเกิดจากจิต เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญามันเกิดจากสมาธิสมาธิที่มันทำลายขึ้นไปมันก็ทำลายสู่จิตนั้น ถ้าทำลายสู่จิตนั้นมันเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นอย่างนี้ นี่นักปฏิบัติ นักรบ

สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา แล้วถ้าภาวนาไปเวลามันภาวนาไปมันเป็นสัจจะความจริงนะ แต่ถ้ามันเป็นโลกียปัญญา วิชาชีพ“อ้าว! ก็ฉันบวชพระ อาชีพพระก็ต้องแสดงธรรมอาชีพพระต้องสอนศีลธรรมเออ! นี่อาชีพพระ” นี่โลกียปัญญา

ถ้ามันเกิดโลกุตตระล่ะโลกุตตระมันเกิดวิปัสสนาวิปัสสนาญาณวิปัสสนาการรู้แจ้งในจิตของตน นี่ไง ระหว่างกิเลสกับธรรมกิเลสกับธรรมที่มันรบกัน ถ้ามันรบกัน คนภาวนามันจะรู้เป็นขั้นเป็นตอน นั่นเวลาการสอนไงเวลาการสอนนะพื้นฐาน พื้นฐานของคนที่เข้ามาวัด คนที่มาวัดเราก็ต้องวัดระดับเขาก่อนอายุจะมากน้อยแค่ไหนมันเรื่องของอายุ วุฒิภาวะของจิตอายุจะมากขนาดไหน มันแก่แต่ตัวไง แก่แต่อายุไง หัวใจมันเด็กน้อย ถ้าเด็กน้อย เด็กน้อยมันเข้าวัดเข้าวาแล้วผู้ใหญ่ต้องดูแลมันนะ ถ้าเด็กน้อยเข้าวัดเข้าวา ถ้าผู้ใหญ่ไม่ดูแลมัน มันทำอะไรไม่ถูกหรอกมันจะหาแต่พี่เลี้ยง

คนเข้ามาวัด ระดับของทาน ระดับของเริ่มต้น เราก็ต้องปูพื้นฐานของเขา ก็เป็นพิธีกรรมพิธีกรรม ศาสนพิธี เขาไว้กับผู้ที่มาฝึกหัดๆพิธีกรรม แต่พ้นจากพิธีกรรมพิธีกรรมมันก็ทำให้เราติดพิธีกรรมนั้น มันแย่งชิงเวลาของเราไปหมดใช่ไหม ถ้าเรารู้แล้ว พิธีกรรมเราก็วางไว้ เราเอาเนื้อๆ เอาเนื้อๆ เสร็จแล้วถ้ามันพัฒนาขึ้นอยู่ที่ไหนก็พุทโธได้ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ภาวนาได้ตลอดทุกวินาทีถ้าคนมีสติปัญญานะ คนจะฝึกหัดนะ ไม่ให้เวลาเราเสียไปแม้แต่วินาทีเดียว

การภาวนา ทางของนักบวชเป็นทางที่กว้างขวางภาวนา ๒๔ชั่วโมง ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะทำมาหากินใช่ไหมเวลาภาวนาก็สวดมนต์ เช้าขึ้นมา ตื่นขึ้นมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ๕นาที ไปทำงานกลับจากทำงานมาสวดมนต์ นั่งสมาธิอีก ๑๐นาที นอน ได้แค่นั้น ทางมันคับแคบ

ทางของนักรบ ๒๔ชั่วโมง ฉันเสร็จแล้วไปเลย ไม่เชื่อเดี๋ยวสะกดรอยตามดูได้พระฉันเสร็จแล้วทำกิจวัตรของตนแล้วให้ภาวนาได้เลย๒๔ ชั่วโมง ๒๔ชั่วโมง ทำทั้งวันทั้งคืน ๒๔ชั่วโมง ทำได้ตลอดเวลา แล้วถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา นักรบไง

ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมาคนที่ภาวนาเป็นมันจะรู้ระดับไงพัฒนาการของจิต วุฒิภาวะของจิต จิตจะพัฒนาการขึ้นได้อย่างไร บุคคล ๔คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรคอรหัตตผล มันพัฒนาขึ้นไปไงแล้วต้องพูดถูกต้องด้วย มันเหมือนกับทางการศึกษามันได้วุฒิมาอย่างไร วุฒิมาอย่างไร

ไอ้นี่เหมือนกัน เวลามันได้มาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกของใจใจมันเป็นอย่างนั้น จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ใจนี้กลั่นออกมาจากความจริง ถ้ากลั่นออกมาจากความจริง มันถึงจะเป็นความจริงในใจดวงนั้น

สมบัติของศาสนาพุทธองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆกราบคุณธรรมอันนี้ คุณธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ แล้วเวลาเผยแผ่ธรรมๆเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีคุณธรรมในใจนี่หลักเกณฑ์ศาสนาพุทธพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเวลาแสดงธรรมขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม สัจธรรมอันนี้ ธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อค้นขึ้นมา สัจธรรมอันนี้อยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่คุณค่าของมัน คุณค่าของมัน สมบัติในพระพุทธศาสนาอยู่ที่นี่

ไอ้นั่นเป็นศาสนวัตถุศาสนพิธี ศาสนบุคคล ไอ้นั่นมันเป็นสิ่งแวดล้อมมันเป็นสิ่งที่เข้ามาเชิดชูพระศาสนา แต่ตัวศาสนาจริงๆ คือสัจธรรม คืออริยสัจ คือสัจจะความจริงอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมอันนี้ แล้วเราปรารถนากันปรารถนาธรรมอันนี้ ธรรมอันนี้อยู่ที่ไหน ธรรมอันนี้อยู่ที่ไหน

อยู่ที่กลางหัวอก ธาตุรู้ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน อยู่ที่ความรู้สึกอันนี้ความรู้สึกที่ทุกข์ที่ยาก ที่เราศึกษาธรรมะกันมาทั้งหมดก็เพื่อตรงนี้ เพื่อให้ใจนี้มันได้ฝึกหัดของมัน เพื่อให้ใจนี้มันได้มีดวงตาเห็นธรรม เพื่อให้ใจดวงนี้เป็นธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเอวัง